ความเป็นมาของระบบสุริยะ..ที่ไม่ถูกกล่าวถึง
- wisdomfromvenus
- 1 มิ.ย. 2565
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 19 พ.ย. 2565
ข้อมูลโดย ออมเน็ค โอเน็ค
ส่วนหนึ่งจากหนังสือซิมพลีวิสดอม แอนด์ เลิฟ

การก่อตั้งอาณานิคมในระบบสุริยะ
นานมาแล้วก่อนที่โลกจะเป็นดาวเคราะห์ มนุษย์กลุ่มหนึ่งได้ออกเดินทางมาจากกาแลกซี่ต่างๆ ที่อยู่ไกลออกไป พวกเขาถูกส่งมาโดยกลุ่มจิตวิญญาณระดับสูง (Spiritual Hierarchy) ให้ออกมาสร้างอาณานิคมใหม่ที่ระบบสุริยะของเรา ซึ่งเวลานั้นยังไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ กลุ่มคนที่มานั้นมีทั้งสายพันธุ์ผิวขาว ผิวเหลือง ผิวแดง และผิวสีดำ ทุกคนต่างได้รับข้อมูลแบบเดียวกันว่าให้ออกมาอยู่ในระบบสุริยะแห่งนี้ จากนั้นจึงขึ้นยานอวกาศลำใหญ่เดินทางมาพบกันในระบบสุริยะของเรา มนุษย์ที่เดินทางมาล้วนมีความตระหนักรู้ทางจิตวิญญาณที่สูงมาก พวกเขาสามารถสื่อสารด้วยโทรจิตกับสิ่งมีชีวิตได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะแร่ธาตุ พืช หรือสัตว์ ทุกคนมองสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์อยู่บนความเท่าเทียม ไม่มีการแบ่งแยกวัฒนธรรมหรือสีผิว ดังนั้นทุกอย่างจึงเต็มไปด้วยมิตรภาพ สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างกลมกลืนและสมานสามัคคี จากนั้นพวกเขาก็เลือกบ้านหลังใหม่ที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการดำรงชีวิต ได้แก่ ดาวเคราะห์ทั้ง 4 ดวงที่มีอายุเก่าแก่มากที่สุดในระบบสุริยะ นั่นก็คือดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ และดาวพฤหัสบดี เพื่อใช้เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์สายพันธุ์ต่างๆ ทั้งผิวเหลือง ผิวขาว ผิวแดง และผิวสีดำ ตามลำดับ จากนั้นก็ก่อตั้งอารยธรรมของตนเอง โดยคัดเลือกพื้นที่บางแห่งบนดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ซึ่งเป็นจุดที่มีพลังงานพิเศษ ก่อสร้างวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นเสมือนประตูมิติใช้ติดต่อกับจิตวิญญาณในระดับสูง เนื่องจากที่ดาวเคราะห์ดวงเดิมของพวกเขาก็มีวิหารแบบเดียวกัน สถานที่แห่งนี้จะช่วยนำสิ่งต่างๆ ออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี หรือคริสตัลต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ซึ่งมนุษย์ที่เดินทางมาต่างก็มีความสามารถในเรื่องนี้เป็นอย่างดี เพราะพวกเขามีความรู้และมีเทคโนโลยีระดับสูง
การปรากฏตัวของโลกและสิ่งมีชีวิต
ในเวลาต่อมามนุษย์ที่ก่อตั้งอาณานิคมในระบบสุริยะก็ได้ค้นพบว่า กำลังมีดาวดวงหนึ่งที่จะพัฒนาไปเป็นดาวเคราะห์ในวันข้างหน้า แต่ขณะนั้นมันยังเป็นแค่อุกาบาต และไม่ได้อยู่ในวิถีโคจรของดวงอาทิตย์ พวกเขาเฝ้าดูวิวัฒนาการของมันในอีกหลายปีต่อมา จนกระทั่งดาวดวงนี้เริ่มเข้าสู่วงโคจรและกลายเป็นดาวเคราะห์ที่สมบูรณ์ แน่นอนดาวเคราะห์ดวงใหม่ก็คือ “โลก” นั่นเอง ด้วยภารกิจของพวกเขาที่ต้องนำมนุษย์เข้ามาอยู่ในระบบสุริยะ ซึ่งขณะนั้นยังมีแค่แร่ธาตุ พืช และสัตว์อาศัยอยู่เท่านั้น ดังนั้นเมื่อโลกได้กลายเป็นดาวเคราะห์และเย็นตัวลงแล้ว พร้อมเข้าสู่วงโคจรในระบบ มนุษย์กลุ่มนี้จึงพาสิ่งมีชีวิตหลากหลายสายพันธุ์เข้ามาอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งพืช แร่ธาตุ สัตว์นานาพันธุ์ ก็ถูกส่งเข้ามาจากดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ และในที่สุดโลกก็กลายเป็นสถานที่ที่สวยงาม เต็มไปด้วยพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด ในตอนนั้นโลกยังไม่มีน้ำแข็งและทะเลทรายปกคลุม ไม่มีฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างในปัจจุบัน และยังมีดวงจันทร์ทั้ง 2 ดวงคอยช่วยสร้างสภาพแวดล้อมให้สมดุล มนุษย์บนดาวเคราะห์ทั้ง 4 รู้สึกภูมิใจมาก พวกเขามีความสุขกับสิ่งที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์ และสัญญาว่าจะร่วมกันปกป้องดาวเคราะห์โลก เพราะเป็นสถานที่ที่สรรพชีวิตต่างๆ สามารถดำรงอยู่ร่วมกันได้ด้วยความสมดุลและกลมกลืน
โลกเผชิญกับสงครามอวกาศ
ในช่วงเวลาที่โลกยังเต็มไปด้วยสิ่งสวยงาม ก็มีรูปธรรมชีวิตจากระบบกาแล็กซี่อื่นๆ เดินทางเข้ามาเยือนเป็นจำนวนมาก ทั้งกลุ่มที่มีหน้าตาเหมือนมนุษย์และไม่เหมือนมนุษย์ รวมทั้งกลุ่มผู้มาเยือนที่มีสติปัญญาและวิทยาการขั้นสูง พวกเขาเดินทางมาเยือนโลก และมีบางพวกที่เป็นรูปธรรมเดินสองขา ออกเดินทางโดยใช้ยานอวกาศ แต่ว่าจิตสำนึกของพวกเขายังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร และร่างกายยังไม่วิวัฒนาการสู่รูปแบบมนุษย์ (Non-Human Form) พวกเขาคือสายพันธุ์เรฟทีเรียน (Reptilian) และดินอยด์ (Dinoid) ซึ่งไม่ให้ความเคารพต่อสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์อื่นๆ และคิดว่าสายพันธุ์อื่นนั้นด้อยกว่า พวกเขาจึงเริ่มฉกฉวยทรัพยากรจากโลก ทั้งพืช สัตว์ และแร่ธาตุต่างๆ จากนั้นก็เริ่มทำสงครามกันเพื่อครองโลกใบนี้ นี่คือการทำสงครามนิวเคลียร์ที่ยาวนานหลายปี กลุ่มหนึ่งออกไปตั้งฐานทัพอยู่ที่ดวงจันทร์ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งตั้งฐานทัพอยู่บนโลก ในระหว่างเกิดสงครามโลกได้รับความเสียหายมากมาย สิ่งมีชีวิตที่งดงามต่างล้มตายไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งดวงจันทร์ดวงหนึ่งของโลกก็ถูกทำลายลงไปด้วย เหลือไว้แค่เพียงดวงจันทร์ดวงเดียวเท่านั้น ภายหลังจากความย่อยยับที่เกิดขึ้น กลุ่มผู้ทำสงครามก็เดินทางกลับบ้านเกิดในระบบกาแล็กซี่ของตัวเอง เนื่องจากโลกไม่มีประโยชน์ให้พวกเขาอีกแล้ว มันไม่สวยงาม และไม่อุดมสมบูรณ์อีกต่อไป มนุษย์บนดาวเคราะห์ทั้งสี่ได้พยายามช่วยกันหาวิธีที่จะแก้ไข โดยรวบรวมนักวิทยาศาสตร์ นักนิเวศวิทยา และนายแพทย์ต่างๆ ขึ้นยานอวกาศลำเล็กออกมาสำรวจดูสภาพแวดล้อมของโลก แต่แล้วก็พบว่าโลกได้เสียหายลงไปมาก และมีรังสีนิวเคลียร์ปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ ในที่สุดกลุ่มนักสำรวจก็ไม่อาจจะเดินทางกลับบ้านของตัวเองได้อีก เพราะถ้ากลับไปพวกเขาก็จะนำรังสีนิวเคลียร์ติดตัวไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงต้องอยู่ที่นี่ต่อ และพยายามหาทางช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตบนโลกที่ยังเหลืออยู่กับความเสียหาย ในเวลานั้นโลกเหลือดวงจันทร์เพียงดวงเดียว ซึ่งส่งผลกระทบต่างๆ ตามมาอีกหลายอย่าง ทั้งการเกิดภูเขาไฟ แผ่นดินไหว และสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง มันจึงยากลำบากมากๆ ในการอาศัยอยู่ที่โลกในขณะนั้น และต้องรอจนกว่าเวลาจะผ่านไป ให้โลกได้กลับฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ สิ่งมีชีวิตที่หลงเหลือได้ค่อยๆ ปรับตัว เพื่ออยู่รอดในสภาวะที่เต็มไปด้วยรังสีอันตราย กระทั่งต่อมาก็ได้เกิดการกลายพันธุ์ กลายเป็นกลุ่มมนุยษ์นีแอนเธอธัลหรือมนุษย์ถ้ำที่เรารู้จัก และสิ่งมีชีวิตบางสายพันธุ์ก็กลายพันธุ์เป็นไดโนเสาร์ สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ในโลกยุคโบราณ ณ เวลานี้ชีวิตดำเนินต่อไปด้วยความยากลำบาก โลกไม่อาจจะหล่อเลี้ยงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ได้อย่างเพียงพอ มนุษย์ก็สูญเสียการพัฒนาและความทรงจำของพวกเขา ไม่รู้ว่าบรรพบุรุษของตัวเองเป็นใครหรือมาจากไหน พวกเขาเริ่มออกล่าสัตว์ และกินพืชเป็นอาหาร ส่วนสัตว์ต่างๆ ก็หันมาล่าเหยื่อและกินกันเอง ดาวเคราะห์ต่างๆ เห็นว่าโลกคงจะอยู่ได้อีกไม่นาน ดังนั้นจึงปรึกษากับจิตวิญญาณในมิติอื่นๆ ว่าจะช่วยเหลือโลกอย่างไร เมื่อไหร่จะฟื้นฟูโลกได้ จะได้นำสิ่งมีชีวิตกลับมาสู่โลกอีกครั้ง ในตอนนั้นโลกยังถูกปกคลุมไปด้วยรังสีนิวเคลียร์ แต่อีกไม่นานก็จะมีอุกาบาตขนาดใหญ่ผ่านเข้าใกล้โลก มนุษย์บนดาวดวงอื่นจึงตัดสินใจกันว่า พวกเขาจะใช้เทคโนโลยีล้ำยุคเบี่ยงเบนวิถีอุกาบาตให้ตกลงในมหาสมุทร เพื่อที่จะสร้างไอน้ำปริมาณมหาศาลให้ครอบคลุมโลก และแช่แข็งละอองไอน้ำนั้นให้คงอยู่ต่อไป วิธีนี้จะช่วยลดระดับกัมตภาพรังสีและชำระล้างโลกให้สะอาด รังสีนิวเคลียร์กับกลุ่มไอน้ำจึงควบแน่นจับเป็นเมฆหมอกขนาดใหญ่ปกคลุมไปทั่วทั้งโลก ทำให้แสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องถึงสนามแม่เหล็กโลกได้ โลกจึงมีแต่ความมืดและเกิดน้ำแข็งไปทั่วทุกแห่ง สถานการณ์นี้ทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ที่กลายพันธุ์ค่อยๆ สูญพันธุ์ไป มันเป็นหนทางเดียวที่จะช่วยชำระล้างและฟื้นฟูสภาพของโลกให้กลับมาดังเดิม แต่ปัญหาของการมีดวงจันทร์ดวงเดียวก็ยังเป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้ นั่นหมายความว่าโลกยังจะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายต่อไป ทั้งอากาศแปรปรวน ภูเขาไฟระเบิด และแผ่นดินไหว
ประชากรกลุ่มแรกของโลก
เมื่อเวลาผ่านไปโลกก็เริ่มปรับสภาพ มันได้รับการเติมเต็มสิ่งมีชีวิตและแร่ธาตุต่างๆ ลงไปอีกครั้ง และในอีกหลายปีต่อมาดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ก็เริ่มเข้าสู่วงจรหยุดการเจริญเติบโต ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่อาจจะอยู่บนดาวเคราะห์ของตนเองได้อีกต่อไป พวกเขาจึงตัดสินใจนำมนุษย์ส่วนหนึ่งลงมาสร้างอาณานิคมใหม่บนโลก โดยคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถ ได้แก่ กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ ครู นักปรัชญา ผู้มีความรู้ทางจิตวิญญาณ รวมถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ๆ ให้ออกเดินทางมาที่โลกใบนี้ มนุษย์กลุ่มแรกที่ลงมาตั้งถิ่นฐานได้กระจัดกระจายไปตามพื้นที่ต่างๆ พวกเขามีมากมายหลายกลุ่มจนไม่อาจจะบอกชื่อได้ทั้งหมด (เพราะถึงอย่างไรคุณก็ไม่คุ้นชื่อเหล่านั้นอยู่ดี) แต่ที่เราเคยได้ยินก็มีชาวแอชเทค เลมูเรีย มู แอตแลนติส อียิปต์ และชาวแอฟริกันบางส่วน พวกเขาพากันมาสร้างอาณานิคมอยู่ทั่วทุกมุมโลก นับว่าเป็นมนุษย์กลุ่มแรกๆ ที่ลงมาอาศัยอยู่ที่โลกนี้ ช่วงเวลานั้นมนุษย์อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืน พวกเขาสร้างเมืองที่สวยงาม สร้างวิหารพลังงานพิเศษไว้หลายแห่ง เพื่อใช้เป็นประตูมิติสื่อสารกับสิ่งมีชีวิตในมิติที่สูงขึ้น และนำเอาเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตออกมาใช้ พวกเขามีปฏิทินเป็นของตัวเอง และต้องดื่มน้ำปริมมาณมากในทุกช่วงการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์ (การเปลี่ยนเฟสดวงจันทร์) เพื่อจะรักษาระดับสมดุลของร่างกาย เพราะไม่มีอะไรจะแก้ไขได้กับสภาพอากาศ และน้ำในมหาสมุทรที่ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเนื่องจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ แต่มนุษย์ก็ได้รับความรู้ในเรื่องการผลิตคริสตัลมาจากที่วิหารศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับนำสิ่งก่อสร้างที่ทำจากคริสตัลไปติดตั้งไว้ตามที่ต่างๆ ในบริเวณจุดศูนย์สูตร รวมทั้งพื้นที่บริเวณที่เป็นน้ำแข็ง เพื่อช่วยลดผลกระทบที่มาจากดวงจันทร์ และเพื่อปรับสมดุลให้กับโลก แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้เกิดในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาที่ยาวนานมากทีเดียว ด้วยเทคโนโลยีในระดับสูงและความเจริญทางจิตวิญญาณที่มนุษย์โลกมีอยู่ขณะนั้น ได้ทำให้มนุษย์จากดาวดวงอื่นหันกลับมาเยือนโลกอีกครั้ง
ผู้มาเยือนต้องการความรู้และเทคโนโลยี
ในที่สุดปัญหาต่างๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นอีก เมื่อมนุษย์จากต่างดาวมองว่าพวกตนไม่ได้รับการแบ่งปันความรู้เหมือนอย่างที่มนุษย์โลกได้รับ เมื่อเวลาผ่านไปมนุษย์โลกก็เริ่มขัดแย้งกับมนุษย์ต่างดาวมากขึ้นทุกที จนในที่สุดพวกเขาก็ประกาศสงคราม เพราะว่าต้องการเทคโนโลยีที่โลกมี แต่มนุษย์โลกในขณะนั้นมีจิตใจอ่อนโยน ไม่ชอบความรุนแรง และไม่ปราถนาสงคราม ดังนั้นวิธีเดียวที่จะแก้ไขปัญหาได้ก็คือพาคนหนุ่มสาว กูรู ผู้รักษาความปลอดภัย และกลุ่มผู้นำทางจิตวิญญาณไปหลบซ่อน พร้อมกับทำลายเมืองและเทคโนโลยีต่างๆ ของตัวเองลงไป เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีเหล่านั้นต้องตกอยู่ในมือของฝ่ายรุกราน แต่แล้วเมื่อสงครามเกิดขึ้น สิ่งก่อสร้างที่ทำจากผลึกคริสตัลได้เสียหายไปเป็นจำนวนมาก และทำให้แผ่นน้ำแข็งที่ถูกควบคุมไว้จากคริสตัลเหล่านี้เสียหายลงไปด้วยเช่นกัน ผู้นำทางจิตวิญญาณจึงสื่อสารให้มนุษย์โลกได้รู้ว่าอนาคตจะเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ เพราะน้ำแข็งกำลังละลาย ดังนั้นมนุษย์ที่หลบซ่อนอยู่จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตัดสินใจสร้างเรือขนาดใหญ่เพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีกับความรู้ขั้นสูงที่พวกเขาได้รับถ่ายทอดมาจากมิติอื่นๆ ทำให้พวกเขาสามารถสร้างเรือขนาดใหญ่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ และช่วยสิ่งมีชีวิตในช่วงภัยพิบัติให้รอดพ้นได้ เรือลำใหญ่เหล่านี้ถูกสร้างขึ้นทั่วโลกเพื่อเตรียมไว้สำหรับการช่วยเหลือ ซึ่งคงคล้ายกับที่คุณเคยอ่านตำนานโนอาห์ แต่ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้น มีเรือที่ถูกสร้างขึ้นจำนวนมากยิ่งกว่าในตำนานมากทีเดียว ในระหว่างที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ สิ่งมีชีวิตบางส่วนก็สามารถรอดชีวิตมาได้ และต้องรอจนกว่าระดับน้ำจะลดลง จึงจะเริ่มสร้างอารยธรรมใหม่ขึ้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันฝ่ายรุกรานก็รอคอยช่วงเวลานี้เช่นเดียวกัน พวกเขารู้ดีว่ามนุษย์โลกมีศักยภาพใกล้เคียงกับพวกเขา สามารถโทรจิตสื่อสารกับผู้คนในมิติระดับสูง รวมทั้งสามารถสื่อสารกับสัตว์ ต้นไม้ และแร่ธาตุต่างๆ ได้ ดังนั้นพวกผู้รุกรานจึงวางแผนที่จะจับมนุษย์โลก และจัดการกับพวกเขาในเวลาต่อมา
การจัดการสายพันธุ์ และผลพวงจากอดีตถึงปัจจุบัน
กลุ่มผู้รุกรานได้พบค้นเทคโนโลยีบางส่วนจากในวิหารศักดิ์สิทธิ์ พวกเขานำความรู้เหล่านี้ไปใช้เพื่อจัดการกับพันธุกรรมของมนุษย์โลก ด้วยการแบ่งสมองออกเป็นสองส่วน ทำให้สมองซีกหนึ่งไร้ประสิทธิภาพในการสื่อสารทางจิตวิญญาณ ไร้ความทรงจำเรื่องที่มาและศักยภาพของตนเอง ในขณะที่สมองอีกซีกหนึ่งยังคงใช้งานได้เกือบสมบูรณ์ แต่จะใช้ได้แค่ในระบบกายภาพเพียงเท่านั้น การดัดแปลงพันธุกรรมนี้ส่งผลให้มนุษย์โลกมีคุณสมบัติแบบใหม่ โดยที่ฝ่ายผู้รุกรานจากต่างดาวเริ่มสร้างระเบียบกฎเกณฑ์ ตั้งตนเป็นผู้นำทางสังคม แบ่งแยกมนุษย์จากสีผิว วัฒนธรรม และความเชื่อที่แตกต่างกัน ต่อมาเมื่อความรู้ต่างๆ จากวิหารศักดิ์ได้ถูกค้นพบ เหล่าผู้นำทางจิตวิญญาณทั้งในโลกและมิติระดับสูง ก็ได้ตัดสินใจที่จะปิดฟังชั่นการทำงานของวิหารเหล่านี้เพื่อไม่ให้ใช้งานได้อีกต่อไป และนับแต่นั้นมาโลกก็ตกอยู่ภายใต้การควบคุม กฎเกณฑ์ ความเชื่อ ศาสนา และธรรมเนียมปฏิบัติต่างๆ พวกเขาเกิดความกลัว ความขัดแย้ง และทำสงครามสู้รบกันเอง มนุษย์สูญเสียอิสรภาพ และศักยภาพภายในที่แท้จริง ซึ่งเป็นเช่นนี้เรื่อยมาจนถึงยุคปัจจุบัน
ส่วนมนุษย์ในดาวอื่นๆ พวกเขาได้เรียนรู้ว่าการดำรงชีวิตด้วยจิตใจที่เมตตา ไม่เห็นแก่ตัว มีความปรารถนาดีต่อชีวิตอื่นๆ นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้อารยธรรมของพวกเขาไม่มีวันสูญสลายไปตามวัฏจักรของดาวเคราะห์ พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในมิติที่สูงขึ้น และยังคงให้ความช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตในระบบกายภาพต่อไป ตราบเท่าที่จะสามารถช่วยได้ในฐานะของบรรพบุรุษ
ความคิดเห็น