
"ขณะที่ฉันเกิดอยู่บนดาวศุกร์ในมิติที่แตกต่าง และออกเดินทางมายังโลกของคุณในขณะที่ยังเป็นเด็ก ฉันก็ได้เก็บรักษาความรู้เหล่านั้นเอาไว้ มันเป็นความรู้ที่มากมาย ครบถ้วนจากการสั่งสมไว้ในแต่ละภพชาติ สิ่งที่ฉันสอนผู้คนจึงเป็นสิ่งที่ฉันรู้ ไม่ใช่สิ่งที่เคยฟังหรืออ่านมาจากที่อื่นๆ แต่เป็นความรู้ฉันที่ได้รับมาจากประสบการณ์ในหลายๆ ภพชาติของการเกิด ทั้งในโลกนี้ และมิติอื่นๆ"
ออมเน็ค โอเน็ค
“As I was born on the planet Venus in another dimension and came to your planet as a young child, I was able to retain the knowledge and information that I had gathered as a soul through many incarnations and life times. I can keep this information intact, and what I teach people is actually what I KNOW and not what I’ve read about or what I’ve heard, but what I have experienced through many different life cycles on Earth and in other dimensions.”
Omnec Onec
ชีวิตบนดาวศุกร์
จากการบรรยายของออมเน็คในหนังสือ เธอเล่าว่าสมัยที่อยู่บนดาวศุกร์ เธออาศัยอยู่กับป้าและลุงในบ้านหลังหนึ่งที่รายล้อมไปด้วยสวนดอกไม้และพันธุ์พืชที่สวยงามหลากหลายชนิด เมืองที่เธออาศัยอยู่มีชื่อว่า "ทิวโทเนีย" ซึ่งเป็นเมืองๆ หนึ่งในมิติแอสทรัลของดาวศุกร์ ด้วยระดับความถี่ทางพลังงานที่สูงกว่าบนโลก ทำให้ผู้คนที่นั่นสามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ออกมาได้จากความคิด สื่อสารด้วยการโทรจิต เดินทางไปยังที่ต่างๆ ด้วยการนึกคิดถึงสถานที่ที่จะไป รวมทั้งสภาพแวดล้อมต่างๆ ก็เต็มไปด้วยความสวยงาม มนุษย์ดาวศุกร์มีนิสัยรักการเรียนรู้ รักศิลปะ รักความรื่นเริง สังคมที่นี่ไม่มีระบบการเงินแต่ใช้ระบบการแลกเปลี่ยน (Barter System) เช่น ใครมีสิ่งใดก็นำมาแลก ใครมีความรู้เรื่องใดก็ผลัดกันสอน เป็นเหตุให้สังคมที่นั่นปราศจากความขัดแย้ง เนื่องจากแต่ละคนมีน้ำใจและไม่ก้าวก่ายต่อกัน มนุษย์ดาวศุกร์ใช้ชีวิตตามครรลองของกฎจักรวาล ซึ่งมีหลักในการดำเนินชีวิตตามคำสอนที่เรียกว่า "Law of Supreme Deity" แปลเป็นไทยแบบง่ายๆ คือ "กฎของผู้สร้างสูงสุด" แต่ผู้สร้างในนิยามของคนดาวศุกร์ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าผู้ทรงอำนาจ หรือมีความเป็นตัวบุคคลอย่างที่มนุษย์โลกเข้าใจ แต่ Supreme Deity ในที่นี้หมายถึง Source of Energy หรือพลังงานต้นกำเนิดในการสร้างทุกสรรพสิ่งในจักรวาล นอกจากนี้ดาวศุกร์ยังไม่มีระบบการศึกษา แต่มีวิหารสำหรับการเรียนรู้วิชาต่างๆ ทั้งวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะ ฯลฯ โดยมีครูหรือผู้เชี่ยวชาญอุทิศตนมาให้ความรู้อยู่เป็นประจำ นักเรียนแต่ละคนสามารถที่เลือกเรียนได้ตามความสนใจ และสามารถเข้าเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ไม่จำกัดเวลา เพราะมนุษย์ดาวศุกร์เชื่อว่าการเรียนรู้นั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัยของชีวิต เด็กๆ บนดาวศุกร์จะได้รับการสอนความรู้พื้นฐานมาจากครอบครัว เช่น กฏแห่งการสร้างสรรค์ ภาษา คณิตศาสตร์ ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ และเมื่อโตขึ้นจึงออกไปแสวงหาความรู้ที่ลึกซึ้งจากวิหารต่างๆ ดังที่กล่าวมา นอกจากนี้มนุษย์ดาวศุกร์ยังให้ความสำคัญกับเรื่องการฝึกประสบการณ์ทางด้านจิตวิญญาณ โดยทุกๆ เย็นสมาชิกในครอบครัวจะมานั่งรวมตัวกันเพื่อพักผ่อนร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ในเรื่องจิตวิญญาณด้วยกัน แต่ละปีครอบครัวต่างๆ จะพากันเดินทางไปร่วมงานสัมนาทางจิตวิญญาณในนครแห่งเร็ตซ์ เพื่อพบปะกับมาสเตอร์และแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน การพัฒนาจิตใจนับเป็นสิ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ที่นี่ และขณะเดียวกันวิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีก็เจริญมากขึ้นด้วย พวกเขาใช้ยานอวกาศเดินทางข้ามมิติและเวลา โดยยานพาหนะเหล่านั้นเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดได้มาจากการใช้พลังงานสะอาด เช่น แสงอาทิตย์ และคลื่นแม่เหล็ก รวมทั้งควบคุมการทำงานด้วยพลังจิตและความคิดในระดับสูง
"ฉันไม่รู้ว่าจะบรรยายสภาพความงามของเมืองทิวโทเนียได้อย่างไร เพราะคุณควรจะได้สัมผัสและรับรู้ด้วยตาของคุณเอง ไม่ใช่เพียงแค่อ่าน ทิวโทเนียเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีขาวและโทนสีอ่อนๆ ของสิ่งก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นวิหารหรือพิพิธภัณฑ์ต่างๆ วันนั้นนับเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสเห็นอาคารสูงๆ เกินกว่าสองชั้น และความตื่นเต้นของฉันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้บริเวณที่มีดอกไม้นานาพรรณ ซึ่งมีอยู่มากมายทั่วทุกแห่งภายในเมืองทิวโทเนีย"
ออมเน็ค โอเน็ค
ข้อความจากหนังสือ The Venusian Trilogy
"ผู้คนในมิติแอสทรัลสามารถใช้จินตนาการสร้างวัตถุที่สามารถจับต้องได้ โดยอาศัยแค่เพียงพลังงานความคิดอย่างเดียวเท่านั้น นี่คือกฎธรรมชาติของที่นี่ ไม่ต่างจากดาวเคราะห์ในมิติกายภาพที่มีกฎของแรงโน้มถ่วง กระบวนการนี้คือการเปลี่ยนพลังงานที่อยู่รอบตัวให้กลายมาเป็นวัตถุที่เราต้องการ วัตถุนี้จะปรากฏออกมาตามเจตนารมณ์และความตั้งใจของผู้สร้างสรรค์ ทั้งบ้าน เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ ต้นไม้ อาหาร เครื่องประดับ หรือสิ่งต่างๆ ที่เราจินตนาการถึง จากนั้นมันก็จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยกระบวนการทางความคิด ซึ่งเราจะต้องฝึกให้เชี่ยวชาญตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ"
ออมเน็ค โอเน็ค
จากหนังสือ The Venusian Trilogy
"ฉันกลับมาไตร่ตรองทางเลือกของชีวิตอย่างละเอียดอีกครั้ง จนกระทั่งอีกหลายวันต่อมาฉันก็ตัดสินใจที่จะบอกกับทุกคน ว่าฉันเลือกแล้วที่จะออกไปจากดาวศุกร์ เพื่อไปใช้ชีวิตต่อในโลกกายภาพ ตอนนั้นมาสเตอร์คานจูรีสงบนิ่งอยู่ชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าป้าอารีน่ากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ป้าบอกกับฉันว่าหนทางครั้งนี้ไม่ได้มีใครบังคับ ถ้าฉันยังไม่พร้อมก็ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไป ซึ่งฉันเข้าใจที่ป้าพูดทุกคำ แต่ฉันก็คิดว่าการตัดสินใจครั้งนี้ มันเกิดขึ้นเพราะเหตุแห่งกรรม และคงเป็นโชคชะตาที่ถูกกำหนดไว้แล้ว มากกว่าจะเป็นการตัดสินใจที่มาจากตัวฉันเอง"
ออมเน็ค โอเน็ค
ข้อความจากหนังสือ The Venusian Trilogy

ออมเน็คกับเพื่อนๆ
บ็อบ เพื่อนที่ให้ที่พักพิงกับเธอ (ด้านหลัง)
อัญญ่า เพื่อนชาวเยอรมันผู้คอยสนับสนุนภารกิจของออมเน็ค (ซ้าย)
การเดินทางมายังโลก
หลังจากมีชีวิตบนดาวศุกร์มาระยะหนึ่ง ออมเน็คก็ได้รับสารจากมาสเตอร์และผู้นำทางจิตวิญญาณ (Spiritual Hierarchy) ว่าเธอมีกรรมผูกพันอยู่กับเด็กคนหนึ่งบนใลก และมีภารกิจที่ต้องทำในวันข้างหน้า ดังนั้นผู้นำทางจิตวิญญาณจึงถามความสมัครใจของเธอ ว่าต้องการที่จะลงมาใช้ชีวิตบนโลกหรือไม่ ซึ่งขณะนั้นตัวเธอเองมองว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกคงจะเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะลงมาหาประสบการณ์ในโลกใบใหม่ โดยทำการลดคลื่นความถี่ทางพลังงานของตัวเอง เพื่อสร้างร่างกายสำหรับใช้ในโลกกายภาพ และออกเดินทางมาที่โลกด้วยยานอวกาศ
ในปี 1955 ยานอวกาศจากดาวศุกร์เดินทางมาถึงโลก ในตอนนั้นหลังจากสร้างร่างกายขึ้นใหม่แล้ว ออมเน็คก็มีลักษณะภายนอกเทียบเท่ากับเด็กอายุ 7 ขวบ และมีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกับเด็กหญิงที่ชื่อว่า "เชียล่า" เด็กผู้หญิงที่มีกรรมร่วมกันกับเธอ จากการมองเห็นภาพในอนาคตของมาสเตอร์บนดาวศุกร์ พบว่าเชียล่าจะต้องเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนรถประจำทาง ในระหว่างการเดินทางไปหายายทีเมืองแชททานูก้า และวันที่เกิดเหตุออมเน็คจะต้องเข้าไปสับเปลี่ยนตัวกับเธอ โดยร่างที่เสียชีวิตของเชียล่าจะได้รับการดูแลจากคนของดาวศุกร์ ดังนั้นเมื่อมาถึงโลกออมเน็คจึงถูกส่งตัวไปอยู่ที่เทือกเขาหิมาลัยในทิเบต และอาศัยอยู่ในวัดแห่งหนึ่งเพื่อปรับตัวเข้ากับแรงโน้มถ่วง ฝึกใช้ร่างกาย และเรียนรู้ภาษา ต่อจากนั้นอีกหนึ่งปีเธอจึงเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา เพื่อสับเปลี่ยนตัวตามแผนการที่วางไว้ และเข้าไปอยู่กับครอบครัวของเชียล่าหลังจากที่เธอเสียชีวิตไปแล้ว นับจากนั้นออมเน็คก็ดำเนินชีวิตภายใต้ชื่อ "เด็กหญิงเชียล่า กิบสัน" โดยที่เรื่องราวทุกอย่างยังคงถูกปิดเป็นความลับ ไม่มีใครรู้ความจริงแม้แต่คนในครอบครัวของเธอ
ในสมัยเด็กๆ เธออาศัยอยู่กับยายในแถบเทนเนสซี โดยใช้ชีวิตและเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆ ในแบบเดียวกับมนุษย์คนอื่นๆ ต้องพบเจอทั้งเรื่องดีและร้ายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ ขณะที่ความจริงยังคงถูกเก็บไว้เป็นความลับ ภายหลังออมเน็คได้แต่งงานกับชายหนุ่มชื่อแสตนลี่ย์ ผู้มีใจเปิดกว้างรับฟังเรื่องราวของเธอ และเป็นผู้ที่นำพาเธอให้มีโอกาสได้พบกับพอล ทวิชเชล ผู้ก่อตั้งองค์กรเอ็คกันการ์ (Eckankar) สถาบันเผยแพร่ความรู้ทางด้านจิตวิญญาณ ซึ่งมีคำสอนในรูปแบบเดียวกับดาวศุกร์เมื่อปี 1969 นั่นทำให้ออมเน็คได้ร่วมงานกับคุณพอลและองค์กรเอ็คกันการ์ นับเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียนหนัง From Venus I Came หนึ่งในภารกิจของเธอที่จะมาบอกเรื่องราวของมนุษย์ในโลกอื่นๆ รวมทั้งความเป็นมาที่สูญหายไปของมนุษยชาติ
แต่แล้วหนังสือของเธอก็ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ เนื่องจากพอลเสียชีวิตกระทันหัน จนกระทั่งปี 1980 อดีตนายพันทัพอากาศสหรัฐและนักสืบยูเอฟโอชื่อดัง "เวนเดล สตีเฟ่น" ได้ทำการติดต่อมาหาเธอ และช่วยตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกได้สำเร็จในปี 1991 พร้อมกับการเปิดตัวครั้งแรกในงานประชุมยูเอฟโอเมืองทูซอนรัฐแอริโซนา ซึ่งทำให้เธอเริ่มเป็นที่รู้จัก และได้รับเชิญไปบรรยายตามที่ต่างๆ ทั้งในเยอรมนีและประเทศอื่นๆ โซนยุโรป และภายหลังก็มีการตีพิมพ์หนังสือเล่มใหม่ขึ้นในเยอรมนี ได้แก่ Angel don't cry, My message และ Simply wisdom and love : Venusian Spirituality
โชคร้ายที่ในปี 2009 เธอประสบปัญหาโรคหลอดเลือดในสมอง เป็นเหตุให้ร่างกายซีกซ้ายส่วนหนึ่งเป็นอัมพาต ปัจจุบันออมเน็คยุติการออกบรรยายในที่ต่างๆ แล้ว และใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ในเขตชนบทของมิสซูรี